วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เมนูต้องห้ามขณะท้องว่าง
วันนี้นำเรื่องสุขภาพมาฝากเพื่อนๆกัน คุณคงเป็นอีกคนที่ในช่วงหนึ่งอาจใช้เวลา เพลิดเพลินไปกับการทำงานจนลืมรับประทานอาหาร หรือกำลังควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก เมื่อเหตุผลข้างต้น ทำให้การรับประทานอาหารของคุณไม่ตรงเวลา จนกระทั่งส่งผลให้เกิดอาการท้องว่างนั้น คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้ว คุณรับประทานอาหารเข้าไป อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

นม และ นมถั่วเหลือง แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

น้ำตาล หรือ อาหารหวาน ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช๊อกโกแลต เพราะ หากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะที่ท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือด หัวใจ เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้นให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายภายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

อย่าลืม สิ่งใดที่มีคุณอนันต์ ก็อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แอปเปิ้ล ผลไม้มหัศจรรย์

An apple a day keeps the doctor away.
เป็นประโยคอมตะของฝรั่ง ที่เปรียบเปรยสรรพคุณของแอปเปิ้ล ว่ารับประทานเพียงวันละผล ก็ไม่ต้องไปหาหมอแล้ว เดี๋ยวนี้แอปเปิ้ลหาซื้อได้ง่าย ราคาก็ไม่แพงนัก แถมสรรพคุณก็มากมายจริงๆ ค่ะ
แอปเปิ้ลมีสารสำคัญบางตัว เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่ชื่อว่า เพคติน และยังมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน ปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส เป็นต้น
แอปเปิ้ลช่วยควบคุมน้ำหนัก หากคุณรู้สึกหิวในเวลาที่มิใช่มื้ออาหาร แอปเปิ้ลสักลูกช่วยลดความหิวได้ดีค่ะ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิด อ่อนเพลียระหว่างเวลาอาหารมื้อใหญ่ๆ
ประโยชน์ของแอปเปิ้ลข้อนี้ สาวๆ สามารถนำไปเป็นเทคนิคควบคุมน้ำหนักอย่างง่ายๆ เวลาที่ต้องไปงานเลี้ยง คือเมื่อเริ่มตักอาหาร ให้ตักผลไม้ก่อน เลือกแอปเปิ้ล ส้ม หรือผลไม้ที่มีกากใยมากๆ รับประทานรองท้องแทนอาหารออเดิร์ฟ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที น้ำตาลผลไม้โมเลกุลเดี่ยวจะถูกดูดซึม ทำให้ความอยากอาหารลดลง คุณจึงรับประทานอาหารคาวได้น้อยลง แต่รู้สึกอิ่มได้ดีกว่าอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาลอื่นๆ จากการทดลองพบว่า แอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณเช่นนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้คุณหายหิว แถมจะทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นด้วย
แอปเปิ้ลช่วยลดคอเลสเตอรอล แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่พบว่าแอปเปิ้ลลดคอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย
นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศ เช่น อิตาลี ไอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ได้รายงานผลการวิจัยตรงกันว่า แอปเปิ้ลมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส พบว่า แอปเปิ้ลช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ในหนูทดลอง ต่อมาได้มีการทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จำนวน 30 คน โดยให้รับประทานอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่รับประทานแอปเปิ้ลร่วมด้วยวันละ 3 ผลทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัครจำนวน 24 คนมีปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดลงมากกว่า 10% แอปเปิ้ลมีสารเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ การวิจัยบ่งชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน แยกคอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับคอเลสเตอรอลเหล่านั้น และนำไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง
แอปเปิ้ลช่วยลดน้ำตาลในเลือด แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด เมื่อรับประทานอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะถูกย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้นๆ เช่น ถ้ารับประทานน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอปเปิ้ล ถึงแม้จะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับอาหารจำพวกถั่ว นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า คนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ จะมีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ผลการทดลองยังพบด้วยว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มาก จะเกิดอาการความดันโลหิตสูงได้ยากกว่าคนที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย
อย่างไรก็ตาม แอปเปิ้ลไม่ใช่ยารักษาโรค แต่หากคุณกำลังมองหาอาหารที่มากด้วยคุณค่าแล้วล่ะก็ อย่าลืมนึกถึงแอปเปิ้ลด้วยนะ

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สาวๆที่ชอบนอนดึกฟังทางนี้...
การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้นจริงหรือ
การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้าเหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง

วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก
- ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า

- ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
ระบบการย่อยอาหาร
ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า
แนวทางแก้ไข
ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)
ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
- ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
- ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึม กลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออกผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้นท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ
ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่
แนวทางแก้ไข
ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท(ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อเราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะมันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้นก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้า
ดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด
ระบบเหงื่อ
คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอเอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทนไตเลยทำงานหนัก ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลกทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไปทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ได้
แนวทางแก้ไข
ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย

การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็นคนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้าเราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักซึ่งไม่ดีให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าหักโหมทำงานมากไปจนลืมดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองด้วยแล้วกันนะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Cathédrale Notre-Dame de Paris
Notre-Dame de Paris, ou simplement Notre-Dame pour les Parisiens, est la cathédrale de l’archidiocèse catholique de Paris.

Notre-Dame de Paris n’est pas la plus grande des cathédrales françaises, mais elle est indiscutablement l’une des plus remarquables qu’ait produites l’
architecture gothique en France et en Europe. Elle fut lors de son achèvement la plus grande cathédrale d’occident. Ce chef-d’œuvre, l’un des symboles les plus connus de la capitale française, est situé à l’extrémité est de l’île de la Cité, centre historique de la ville, tout près des berges de la Seine, dans le quatrième arrondissement de Paris. Sa façade occidentale domine le parvis Notre-Dame - place Jean-Paul II.

La construction s’étant étendue sur de nombreuses décennies (deux siècles) sur l’emplacement d’anciens temples païens, le style n’est pas d’une uniformité totale ; elle possède ainsi des caractères du
gothique primitif (voûtes sexpartites de la nef) et du gothique rayonnant : on remarque particulièrement l’audace des arcs-boutants du chœur. Sa façade occidentale est un chef-d’œuvre d’équilibre architectural.

Après la tourmente révolutionnaire, la cathédrale a subi de 1844 à 1864 une restauration importante et parfois controversée dirigée par l’architecte
Viollet-le-Duc, qui y a incorporé des éléments et des motifs que le monument légué par le Moyen Âge n’avait jamais possédés.

Les deux
rosaces qui ornent chacun des bras du transept, sont parmi les plus grandes d’Europe et mesurent chacune 13 mètres de diamètre.
Une plaque de bronze incrustée dans le sol de son parvis sert de
point zéro de toutes les distances routières calculées à partir de Paris. D’autre part, la cathédrale constitue pour l’IGN un site NTF d’ordre 5[2], sa flèche étant un point géodésique, c’est-à-dire qu’on connaît avec précision ses coordonnées géographiques, (600 985,75 m, 128 058,65 m) en Lambert I, et son altitude, 126,7 m en NGF - IGN69[3].Ce site est desservi par les stations de métro : Cité et Saint-Michel.

Histoire
Les étapes de l'édification de la cathédrale
On pense qu’au début de l’ère chrétienne il existait à l’emplacement de Notre-Dame, un temple païen, remplacé ultérieurement par une grande basilique chrétienne sans doute assez semblable aux basiliques antiques. Nous ne savons pas si cet édifice, dédié à saint Étienne, a été élevé au IVe siècle et remanié par la suite ou si il date du VIe siècle avec des éléments plus anciens réemployés (hypothèse de la cathédrale de Childebert Ier, fils de Clovis et de Clotilde).
Quoi qu’il en soit, cette cathédrale Saint-Étienne était de très grandes dimensions pour l’époque. Sa façade occidentale, se trouvait à une quarantaine de mètres plus à l’ouest que la façade actuelle de Notre-Dame et avait une largeur à peine inférieure : elle mesurait 36 mètres. Quant à la longueur de l’ancien édifice, elle était de 70 mètres, c’est-à-dire un peu plus de la moitié de la longueur de la cathédrale actuelle. Des rangées de colonnes de marbre séparaient cinq
nefs. L’édifice était orné de mosaïques. Elle était complétée sur son flanc nord par un baptistère, appelé Saint-Jean le Rond. La présence d’un baptistère est attestée avant 451.

La cathédrale Saint-Étienne semble avoir été régulièrement entretenue et réparée, suffisamment en tout cas pour résister aux guerres et aux siècles. Cependant, en 1160, l’évêque
Maurice de Sully décida la construction d’un sanctuaire d’un nouveau type beaucoup plus vaste. Comme dans l’ensemble de l’Europe de l’Ouest, les XIIe et XIIIe siècles se caractérisent en effet par une rapide augmentation de la population des villes françaises, liée à un important développement économique, et les anciennes cathédrales étaient un peu partout devenues trop petites pour contenir les masses de plus en plus grandes de fidèles. Les spécialistes estiment que la population parisienne passe en quelques années de 25 000 habitants en 1180, début du règne de Philippe II Auguste, à 50 000 vers 1220, ce qui en fait la plus grande ville d’Europe, en dehors de l’Italie [4],[5].

L’architecture de la nouvelle cathédrale devait s’inscrire dans la ligne du nouvel art que l’on appellera
gothique ou ogival. Plusieurs grandes églises gothiques avaient déjà été inaugurées à ce moment : l’Abbatiale Saint-Denis, la cathédrale de Noyon et celle de Laon, tandis que celle de Sens était en voie d’achèvement. La construction, commencée sous le règne de Louis VII dura de 1163 à 1345. À cette époque, Paris n’était qu’un évêché, suffragant de l’archevêque de Sens.

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประเทศจีน

พระพุทธรูปเล่อซาน(Leshan Giant Buddha)เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในเขาเล่อซาน เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ขนาดของพระพุทธรูป มีความสูงกว่า 70 เมตร ไหล่กว้างกว่า 20 เมตร พระเศียรสูงเท่าภูเขา พระบาทวางอยู่ริมแม่น้ำ พระหัตถ์วางบนเข่า พระพักตร์อิ่มเอิบสงบ ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับ เขาเอ๋อเหมย เมื่อปี พ.ศ. 2539 พระพุทธรูปเล่อซานเริ่มสร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง คือคริสต์ศักราช 700 กว่าปี เริ่มต้นโดยมีพระชื่อไห่ทงเดินทางมาถึงเสฉวน และพบว่าเขาเล่อซานตั้งอยู่บนทางผ่านของแม่น้ำสามสาย จึงมักเกิดอุบัติเหตเรือล่มทำให้มีผู้คนเสียชีวิตบ่อยๆ พระไห่ทงจึงตั้งใจสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นตรงจุดนี้เพื่อให้พระคุ้มครองเเก่ผู้เดินทาง ต่อมา มีชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธาใช้ความพยายามและใช้เวลาอีก ๙๐ ปี สร้างพระพุทธรูปองค์นี้จนสำเร็จ พุทธศาสนิกชนจากท้องที่ต่างๆพากันมานมัสการเพื่อความสงบสุขแห่งจิตใจ

เขาง้อไบ๊(Mt. Emei) เขาเอ๋อเหมย หรือ เขาง้อไบ๊ หนึ่งใน 4 พุทธคีรี ของจีน ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน ห่างจากนครเฉิงตูไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 160 ก.ม.สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3077 เมตร และ สูงกว่าพุทธคีรีอื่นๆ กว่า 1000 เมตร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม ปี ค.ศ.1996 เขาสูงเอ๋อเหมย เป็นทีตั้งถิ่นฐานของกลุ่มนักพรตลัทธิเต๋ามานานกว่า 10000 ปี จวบจนกระทั่ง ศตวรรษที่ 3 ได้กลายมาเป็นพุทธคีรี โดยได้มีการจัดสร้างองค์โพธิสัตว์ผู่เสียน และภิกษุฮุยฉี ก็ได้สร้างวัดผู่เสียนที่บริเวณตีนเขา ซึ่งก็คือวัดว่านเหนียนในปัจจุบันนั่นเอง ต่อมาในกลางศตวรรษที่ 9 จักรพรรดิซ้อง ( เจ้ากวนยิน) ได้ให้ภิกษุจียี่เดินทางไปอินเดียเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก ระหว่างทางกลับได้สร้างวัดขึ้นที่เขาง้อไบ๊ และได้แปลพระไตรปิฎก เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา และท่านได้หล่อรูปสำริดองค์ผู่เสียน ขนาด 62 ตัน และ สูง 7.85 เมตร ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดว่านเหนียน ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิงได้มีการบูรณะและเปลี่ยนให้วัดลัทธิเต๋าส่วนใหญ่ในบริเวณเขาง้อไบ๊ เป็นวัดในพุทธศาสนา

เขื่อนตููู้เจียงเอี้ยน (Dujiangyan Irrigation Project of China)ภูมิปัญญาอีกประการหนึ่งของชาวจีน ที่สะสมงานด้านก่อสร้างและต่อสู้กับธรรมชาติมากว่า 5,000 ปี ด้วยความพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติให้ได้ โดยเฉพาะการบังคับ “น้ำ” ชาวจีนเชื่อว่า ผู้ใด กำหนดน้ำได้ ผู้นั้นปกครองประเทศได้ ผลงานวิศวกรรมของชาวจีน ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามนั้นตั้งแต่ยุคโบราณ นั่นคือ เขื่อนตูเจียงเอี้ยน ที่เมืองตูเจียงเอี้ยน ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี 1999 ถ้านับอายุแล้ว เขื่อนนี้สร้างมากกว่าสองพันปี ตั้งแต่ยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ แสดงถึงความก้าวหน้าด้านงานโยธาโบราณที่ทดน้ำจากแม่น้ำหมินเจียงเข้าสู่ที่ราบมณฑลเสฉวน ปัจจุบันเขื่อนตูเจียงเอี้ยนยังคงใช้งานได้ดี ดังคำกล่าวที่ว่า “ทางเหนือมีกำแพงยักษ์ ทางใต้มีระบบชลประทานตูเจียงเอี้ยน 2 สิ่งมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน” ผู้ออกแบบก่อสร้าง คือ ท่านหลีปิง ผู้ปกครองมณฑลเสฉวนขณะนั้น ท่านเจ้าเมืองได้เดินทางไปตรวจดูงานในเมืองเฉินตู พบว่าเมืองนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก แต่มักจะเกิดภัยน้ำท่วมอยู่เนืองๆ เพราะแม่น้ำหมินเจียงไหลมาจากจิ่วจ้ายโกวและความใหญ่โตของแม่น้ำแยงซีเกียง ปริมาณน้ำในฤดูน้ำหลาก ไหลบ่าท่วมไร่นาเสียหาย ท่านจึงเกิดความคิดที่จะบรรเทาทุกข์ชาวบ้าน ด้วยการสร้างเขื่อนแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะตามลักษณะการใช้งานในแนวคิดแบบ “จระเข้ขวางคลอง” คือ ส่วนหัวเขื่อนเปรียบเสมือนปากจระเข้ กลางเขื่อนคือลำตัวจระเข้ และท้ายเขื่อนคือหางจระเข้นั่นเอง เมื่อเกิดแรงปะทะของสายน้ำที่ปากจระเข้ ปากจระเข้จะแบ่งน้ำออกเป็นสองสาย ส่วนหนึ่งระบายน้ำเข้าสู่เมืองเฉินตู อีกส่วนหนึ่งจะไหลออกไปนอกเมือง น้ำที่ไหลเข้าเมืองนี้จะเพียงพอสำหรับใช้ในการเกษตร ส่วนลำตัวและหางจระเข้นั้นมีหน้าที่ระบายดินทรายและหิน ที่มากับสายน้ำให้เหลืออุดตันเขื่อนให้น้อยที่สุด การชมเขื่อนนี้ ต้องเดินบนสะพานแขวนที่ใช้ข้ามแม่น้ำหมินเจียง เพื่อไปนมัสการศาลเจ้าเอ้อหวังเมี่ยว หรือวัดสองกษัตริย์ ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงหลีปิงและ ลูกชาย ผู้คิดริเริ่มระบบชลประทานแห่งแรกของจีน เป็นวัดเก่าแก่ที่ปลูกสร้างบนไหล่เขาซึ่งมีทัศนียภาพที่สวยงาม มองเห็นแม่น้ำหลินเจียงไหลอยู่ด้านล่าง
ชมงิ้วเสฉวน (Sichuan Opera)เริ่มมีขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์หมิง (1368-1644) และ ต้นราชวงศ์ชิง (1644-1911) ด้วยกลุ่มผู้อพยพจากน้ำท่วม บทละครที่แตกต่างกัน โดยการผสมผสานภาษาท้องถิ่น ขนบธรรมเนียม ดนตรีและการเต้นแบบพื้นเมือง การแสดงเปลี่ยนหน้ากาก นับเป็นไฮไลท์ของการแสดง เป็นการนำเสนอหน้ากากซึ่งคนโบราณได้ทำขึ้น เป็นขับไล่สัตว์ป่า งิ้วเสฉวน แสดงให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ ทักษะโบราณ และ ความสมบูรณ์แบบสู่งานศิลปะ