วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552


Protocole de Kyoto

La gouvernance sur le climat repose sur trois traités internationauxConvention-cadre des Nations unies sur les changements climatiques (CCNUCC ou UNFCCC en anglais), ouverte à ratification en 1992 et entrée en vigueur le 21 mars 1994, a été ratifiée à ce jour par 189 pays dont les États-Unis et l’Australie. Son traité fils, le protocole de Kyoto, a été ouvert à ratification le 16 mars 1998, et est entré en vigueur en février 2005. Il a été ratifié à ce jour par 172 pays à l'exception notable des États-Unis.
Notons qu'une charte similaire, la Charte des Verts mondiaux, a été signée par certains partis politiques à travers le monde, notamment quelques partis politiques aux États-Unis, dans laquelle ils se sont engagés à poser des actions ciblés dans le domaine de l'environnement.
Tous les pays membres de la convention climat ont pour objectif de stabiliser les concentrations de gaz à effet de serre dans l'atmosphère à un niveau qui empêche toute perturbation anthropique dangereuse du système climatique. Ils se sont collectivement engagés à prendre des mesures de précaution pour prévoir, prévenir ou atténuer les causes des changements climatiques et en limiter les effets néfastes. Concrètement, tous les pays ont l'obligation de publier des inventaires de leurs émissions de gaz à effet de serre, d'établir, de mettre en œuvre et de publier des programmes nationaux contenant des mesures visant à atténuer les changements climatiques.
Le protocole de Kyoto va plus loin car il propose un calendrier de réduction des émissions des 6 gaz à effet de serre qui sont considérés comme la cause principale du réchauffement climatiquedioxyde de carbone d'ici 2012 par rapport aux émissions de 1990.
fondamentaux : la des cinquante dernières années. Il comporte des engagements absolus de réduction des émissions pour 38 pays industrialisés, avec une réduction globale de 5,2 % des émissions de

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

นครใต้บาดาล กอนด์ วานาแลนด์
ตำนานของอาณาจักรกอนด์ วานาแลนด์ (Gondwanaland) ในทวีปอเมริกา ใต้ เล่าลือไปไกลถึงยุโรปว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์ตัวเล็ก แต่เป็นชนชาติที่มีความ เจริญถึงขีดสุด สามารถสร้างเมืองอยุ่ใต้ทะเลสาป "ติติกากา" ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ประเทศโบลิเวียได้ นครใต้บาดาลแห่งนี้นักโบราณคดี ดึกดำบรรพ์พบตำนานเล่าลือว่า เมือง ใหม่ของชนเผ่าโบราณตั้งอยู่ใต้ทวีปอเมริกาใต้ในยุค ก่อนเกิดน้ำท่วมโลก มีนักสำรวจที่มุออกตามหาร่องรอยทวีปลึกลับแห่งนี้ รวมทั้งทีมงานของ ดร.โซย่า ลยูบินอฟ นักมานุษยวิทยาจากเมืองเยตาเตอรินเบิร์กประเทศรัสเซีย ซึ่งเขาเคยให้สำภาษณ์แก่นักข่าวนิตยาสาร "เปอริช" ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับ สัตว์์ใต้ดินว่า "ข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสืบหาค้นคว้ามาตลอด 3 เดือนเศษนั้น บ่งบอกว่าตำนานเล่าขานถึงมนุษย์แคระหรือคนเล็กมีถิ่นอาศัยอยู่ใต้ทะเลสาป ใหญ่นั่นเป็นความจริง" ดร.โซย่าเปิดเผยอีกว่าทีมงานนักโบราณคดีของตน ให้สัมภาษณ์ชนเผ่า "ไอมาร่า" ซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีร่างเล็ก สูงไม่เกิน 5 ฟุตกับเผ่าปิ๊กมี่ในทวีปแอฟริกา อาจสืบเชื้อสายมาจากคนเล็กที่สุดในโลกใต้บาดาล" จะต่างกันคือชนเผ่าลึกลับที่อาจอยู่ใต้ทะเลสาปในบริเวณที่ราบสูงโบลิเวีย นั้นมีผิวกายเป็นสีเขียวเรื่องๆ นักโบราณคดีชุดนี้ได้พบหลักฐานรอยเท้าคนบนแผ่นดินเหนียวซึ่งแข็งเป็น หิน เพราะผ่านกาลเวลาไม่ต่ำกว่าร้อยถึงพันปีมาแล้ว เป็นรอยเท้ามนุษย์มีขนาดเล็กมาก หากนำขนาดเท่าซึ่งมีความยาวเพียง 6 นิ้วไปเปรียบเทียบขนาด ความสูงได้ไม่เกิน 4 ฟุต นักสำรวจชาวอิตาลี ก็มีข้อมูลเกียวกับนครใต้บาดาล "กอนด์วานาแลนด์" พอสมควรจึงส่งชุดมนุษย์กบลงไปค้นหาหลักฐานในทะเลสาปติติกากา ได้พบ ซากปรักหักพังของอาคารขนาดใหญ่ คล้ายกับโครงสร้างอาคารของชาวโรมันโบราณ นอกจากนี้ยังพบถนนกว้าง 3 เมตรทอดยาวไปตามพื้นก้นทะเลสาป พบ กระดูกสัตว์หลายชิ้น เป็นสัตว์บกเชื่อได้ว่าสัตว์เหล่านี้ถูกนำไปเข้าพิธีบูชายัญ แล้วคนเล็ก หรือคนแคระหายไปไหน ทีมงานของ ดร.โซย่าเชื่อว่า นาวา แลนด์ ได้หนีภัยน้ำท่วมโลกเมื่อราว 12,000 ก่อน โดยสร้างเมืองใหม่อยู่ใต้ ทะเลสาปเป็นนครใต้พิภพ เช่นเดียวกับ "อาณาจักรลีมูเรีย" ตำนานบอกกล่าวอีกว่ากอนด์ วานาแลนด์ นับเป็นทวีปแรกของโลกก็ว่าได้ เมื่อโลกผ่านยุคน้ำแข็งไประดับน้ำเริ่้มลดลง โลกจึงมีแผ่นดินเดียวที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำคือทวีป กอนด์ วานาแลนด์ ี่เอง ประมาณกันว่าทีวีปกอนด์ วานาแลนด์เกิดขึ้นเมื่อราว 100 ล้่านปีก่อน ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด เปลือกโลกเคลื่อนตัวแยกจากกันทวีปใหญ่ก็ ถูกแยกไปเป็นทวีปแอฟริกา ทวีปแอนตาร์กติกกา ทวีปออสเตรเลีย ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปเอเชีย และทวีปอเมริกาเหนือ ส่วนชนเผ่าลึกลับนั้นมาอยู่ที่ทวีปอเมริกาใต้หรือส่วนที่เหลืออยู่ของทวีป กอนด์ วานาแลนด์ เมื่อใดไม่มีใครรู้ เมื่อ 40 ปีก่อนนักสำรวจได้พบภาพวาดบนผนังหินใกล้กับทะเลสาปติติกากา ในประเทศโบลิเวีย เป็นภาพสีใช้ดินแร่วาดเป็นคนผิวสีน้ำตาลแดง สูง 3 ฟุต ไม่ สวมเสื้อผ้า แต่มีคล้ายโลหะคล้องคอ ถือปลา 2 พวง จากการตรวจอายุภาพด้วยเครื่องไกเกอร์เคาเตอร์พบว่ามีอายุราว 3,000 ปี ถ้าชาวกอนด์ วานาแลนด์เป็นผู้เขียนภาพนี้ไว้ก่อนจะลงไปอยู่นครใต้บาดาลก็ แสดงว่ามนุษย์ตัวเล็กยังดำรงเผ่าพันธุ์อยู่จนถึงบัดนี้
มาชูปิกชู
มาชูปิกชู (Machu Picchu) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เมืองสาบสูญแห่งอินคา" เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาว อินคาในประเทศเปรู
มาชูปิกชู อยู่บนชะง่อนเขาของเทือกเขาแอนดิส 2,253 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เป็นสถานที่ที่ต้องพยายาม อย่างยากลำบากที่จะสร้างเมือง ที่น่าอัศจรรย์มากคือ มาชูปิกชูอยู่สูงมากจนเหมือนอยู่เหนือทุกสิ่ง เปรียบเสมือนเมืองของเทพเจ้า คาดว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นในยุค 1460 โดยผู้เป็นเทวกษัตริย์อินคา
มาชูปิกชูเป็นสิ่งปลูกสร้าง ประมาณ 200 หลัง และมีพลเมืองเกือบ 1,000 คน เผ่าอินคาเป็นนักวิศวกรรมที่ก้าวหน้ามาก พวกเขาสร้างถนน ท่อระบายน้ำ และระบบระบายน้ำได้อย่างยอดเยี่ยม ที่มาชููปิกชูนี้จะเห็นว่า น้ำจะถูกลำเลียงมาในเมือง และจะถูกกักเก็บไว้อยู่ทางด้านหลังของเมือง หลังจากนั้น น้ำก็จะไหลลงมาตามลำคลอง ตามน้ำตก อย่างมีระบบ

มาชูปิกชู เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีความเชื่อกันว่า มาชูปิกชูเป็นถิ่นกำเนิดของหญิงพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นผู้รับใช้เทพเจ้า แห่งพระสุริยเทพ
ในช่วงที่ดวงอาทิตย์โคจรผ่านเส้นศูนย์สูตร ชาวอินคากลัวว่าดวงอาทิตย์จะไม่กลับมา จึงพยายามผูกดวงอาทิตย์ ไว้กับโลกโดยการสร้างแท่นนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นที่นั่งให้แก่ดวงอาทิตย์ นอกจากนี้สำหรับชาวอินคา สายรุ้งก็มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากชาวอินคาเชื่อว่าสายรุ้งคือบุตรชายของพระสุริยเทพนั่นเอง
ด้านบนสุดของมาชูปิกชู น่าจะเคยเป็นวิหาร เพราะว่ามีแท่นบูชาที่มีลักษณะพิเศษ ตรงที่แท่นบูชาแกะสลักจากตัวภูเขา ไม่มีใครทราบว่ามีความหมายอะไรสำหรับชาวอินคา บางคนคิดว่าคงจะเกี่ยวกับ การสักการะบูชาพระสุริยเทพ บ้างก็ว่าอาจจะเป็นนาฬิกาแดดก็เป็นได้
มาชูปิกชูเป็นเหมือนดินแดนที่ถูกเสกขึ้นให้เหมือนดั่งสวรรค์ ชาวอินคาสามารถอยู่อาศัยเป็นหนึ่งเดียว กับธรรมชาติ และสักการะเทพของพวกเขาได้อย่างใกล้ชิด